สิทธิหักลดหย่อนภาษีสำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดามีมากมายหลายประการด้วยกัน ทั้งที่เกิดจากการใช้จ่ายส่วนตัวและรายจ่ายให้กับบุคคลในครอบครัว ซึ่งสิทธิลดหย่อนภาษีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุก ๆ ปีอาจจะมีระเบียบ หลักเกณฑ์ที่ยุ่งยากสักนิดแต่ไม่ยากเท่ากับการลดหย่อนภาษีของนิติบุคคลแน่นอน เพราะนิติบุคคลคือบริษัทและห้างหุ้นส่วนต้องมีการทำบัญชี ปิดงบการเงินต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องด้วย สำหรับผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาคือบุคคลที่มีงานทำ ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือน สิทธิลดหย่อนภาษีจึงเกี่ยวข้องกับตัวบุคคล ซึ่งหนึ่งในสิทธิที่เราสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นั่นก็คือ ประกันสุขภาพ, ประกันชีวิตและประกันบำนาญ โดยสิทธิดังกล่าวมีผลตั้งแต่ปีภาษี 2561 เป็นต้นไป

            ประกันสุขภาพที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้นั้น ต้องเป็นการประกันภัยที่ให้การคุ้มครองการรักษาพยาบาล ที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย การบาดเจ็บ การชดเชย ทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ นอกจากนี้ยังรวมถึงประกันภัยโรคร้ายแรง และการประกันภัยการดูแลระยะยาวด้วย

            ส่วนประกันอุบัติเหตุให้ความคุ้มครองกับการรักษาพยาบาล ทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะและการแตกหักของกระดูก

หลักเกณฑ์และวิธีการยกเว้นภาษีเงินได้จากเบี้ยประกันสุขภาพ

           เบี้ยประกันชีวิตที่ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ต้องเป็นเบี้ยประกันชีวิตของตนเองและบิดามารดาเท่านั้น โดยกรมธรรม์ชีวิตที่มีกำหนดระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำมาหักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตได้ สำหรับเบี้ยประกันชีวิตแบบทั่วไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุด 100,000 บาท ส่วนเบี้ยประกันสุขภาพตนเองสามารถนำเบี้ยประกันของตนเองมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท และประกันชีวิตแบบบำนาญผู้มีเงินได้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริงสูงสุดได้ไม่เกิน 200,000 บาท​

           ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ต้องการใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ต้องแจ้งความประสงค์ให้บริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการอยู่ในประเทศไทยทราบก่อน โดยบริษัทประกันชีวิตจะมีแบบฟอร์มแสดงความประสงค์การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตและอุบัติเหตุให้ผู้มีเงินได้กรอก เพื่อให้บริษัทประกันชีวิตนำส่งข้อมูลเบี้ยประกันสุขภาพให้แก่กรมสรรพากร ทำให้ผู้มีเงินได้ไม่ต้องใช้หลักฐานประกอบการยื่นขอลดหย่อนภาษีอีกต่อไป